เสด็จพระพุทธดำเนินไปโปรดเบญจวัคคีย์
พบอุปกาชีวกในระหว่างทาง
ในสัปดาห์ที่ ๖ ถึงที่ ๘ เป็นระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จแปรสถานที่ |
ประทับไปมาที่ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์กับต้นอชปาลนิโครธหรือต้นไทร |
จนถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ในสัปดาห์ที่ ๘ นับแต่ตรัสรู้มา พระพุทธเจ้า |
จึงเสด็จออกจากบริเวณสถานที่ตรัสรู้ เพื่อเสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน |
หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าสารนาถ ซึ่งอยู่ในเขตแดนเมืองพาราณสี เวลาที่กล่าวนี้ |
พวกเบญจวัคคีย์ที่เคยตามเสด็จออกบวชและอยู่เฝ้าอุปัฏฐากได้พากันผละ |
หนีพระพุทธเจ้ามาอยู่ที่นี่ |
ระหว่างทาง คือ เมื่อเสด็จถึงแม่น้ำคยาอันเป็นที่สุดเขตตำบลของสถานตรัส |
รู้ พระพุทธเจ้าได้ทรงพบอาชีวกผู้หนึ่งนามว่า 'อุปกะ' เดินสวนทางมา |
อาชีวกคือนักบวชนอกศาสนาพุทธนิกายหนึ่งในสมัยพระพุทธเจ้า |
ตอนที่เดินยังไม่เข้าใกล้และได้เห็นพระพุทธเจ้านั้น อาชีวกผู้นี้ได้เห็นพระรัศมี |
ที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกายพระพุทธเจ้ามากระทบเข้าที่หน้าตนก่อน พระ |
รัศมีนั้น สมัยนั้นเรียกว่า 'ฉัพพรรณรังสี' คือ พระรัศมี ๖ ประการที่ซ่านออก |
จากพระวรกายของพระพุทธเจ้า ได้แก่ |
๑. นีละ | สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน |
๒. ปีตะ | สีเหลืองเหมือนหรดาลทอง |
๓. โลหิตะ | สีแดงเหมือนแสงตะวันอ่อน |
๔. โอทาตะ | สีขาวเหมือนแผ่นเงิน |
๕. มัญเชฐะ | สีแสดเหมือนดอกหงอนไก่ |
๖. ประภัสสระ | สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก |
มาถึงสมัยสร้างพระพุทธรูปฉัพพรรณรังสีนี้เรียกกันว่า 'ประภามณฑล' คือ |
พระรัศมีที่พุ่งขึ้นจากเบื้องพระเศียรที่เป็นรูปกลมรีขึ้นข้างบนนั่นเอง |
พอพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ อาชีวกจึงได้เห็นที่มาของพระรัศมี พอเห็นก็ |
เกิดความสนใจจึงเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ใครเป็นพระศาสดาของพระ |
พุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์ไม่มีศาสดาผู้เป็นครูสอน พระพุทธ |
องค์เป็นสยัมภู คือ ผู้ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง อาชีวกได้ฟังแล้วแสดง |
อาการสองอย่างคือสั่นศีรษะและแลบลิ้น แล้วเดินหลีกพระพุทธเจ้าไป |
Copyright © 2002 Mahidol
University All rights reserved. |