ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรก
แลเห็นซึ่งกันและกัน

วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีก
ครั้งหนึ่ง คือขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไป
ทางทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระ
เนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้นสวรรค์ มนุษย์
และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล

ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ เรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก โลกที่ทรงเปิดใน
เหตุการณ์คราวนี้มี ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษย์ และยมโลก

เทวโลก หมายถึง ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษย์โลกก็คือ
โลกมนุษย์ และยมโลกซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุมจนกระทั่งถึงอเวจี
มหานรก

พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้ง
แต่มนุษย์ก็สว่างโล่ง ขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้าน
สากลจักรวาลก็ โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง ความ
สว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม

ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์
มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่าง
เหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งบอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลก
ได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน" ปฐมสมโพธิ
พรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก คือว่า

"ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์แลสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งได้
เห็นองค์พระชินสีห์ แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้
มีเป็นอันขาด"

พุทธภูมิ คือความเป็นพระพุทธเจ้า คำว่า พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกทั้งสามให้
คนในสามโลกนี้มองเห็นกันและกันนั้น ถ้าจะถอดใจความให้ฟังได้ ก็คือวันนี้
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม มีคนมาฟังธรรมกันมากที่สุด คนมองเห็นผล
บาปบุญคุณโทษ ผลบาปคือความทุกข์ได้แก่นรก ผลบุญคือความสุขได้แก่
สวรรค์ และความมีศีลธรรม ทำให้คนเป็นคนที่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

Copyright © 2002 Mahidol University All rights reserved.
Mahidol University Computing Center, Rama VI Road, Rajathewi, Bangkok 10400, THAILAND Tel. (662) 354-4333