ถึงเพ็ญเดือน ๓ พรรษาที่ ๔๕
พญามารเข้าเฝ้าทูลให้เสด็จปรินิพพาน ทรงรับอาราธนา

พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกประกาศพระศาสนาตามแคว้นและเมืองต่างๆ เป็น
เวลาถึง ๔๕ พรรษานับตั้งแต่วันตรัสรู้เป็นมา พรรษาที่ ๔๕ จึงเป็นพรรษาสุด
ท้ายของพระพุทธเจ้า และเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุได้ ๘๐ ปี
นับแต่ประสูติเป็นต้นมา

พรรษาสุดท้าย พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เวฬุคามแขวงเมืองไพศาลี ระหว่าง
พรรษาทรงพระประชวรเพราะอาพาธหนัก จวนเจียนจะเสด็จพระนิพพาน
พระสงฆ์ทั้งปวงที่ยังเป็นปุถุชน หรือแม้แต่พระอานนท์ องค์อุปัฏฐากต่างก็
หวั่นไหว เพราะความตกใจที่เห็นพระพุทธเจ้าประชวรหนักพระพุทธเจ้าตรัส
บอกพระอานน์ว่า เวลานี้พระกายของพระองค์ถึงอาการชรามาก มีสภาพ
เหมือนเกวียนชำรุด ที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่

ทรงหายจากอาพาธคราวนี้ และเมื่อออกพรรษาแล้วพระพุทธเจ้าพร้อมด้วย
พระอานนท์เสด็จไปประทับที่ร่มพฤกษาแห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์ แขวงเมือง
ไพศาลี เวลากลางวัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอภาสนิมิตแก่พระอานนท์ว่า
'อิทธิบาทสี่' (ชื่อของพระธรรมหมวดหนึ่งมี ๔ ข้อ) ถ้าผู้ใดได้บำเพ็ญได้เต็ม
เปี่ยมแล้ว สามารถจะต่ออายุให้ยืนยาวไปได้อีกกำหนดระยะเวลาหนึ่ง

'โอภาสนิมิต' แปลเป็นภาษาชาวบ้านว่าบอกใบ้ คือพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ
จะสิ้นสุดลงในปีที่กล่าวนี้ จึงทรงบอกใบ้ให้พระอานนท์ทราบทูลอาราธนา
ให้พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่พระอานนท์ท่าน
นึกไม่ออก ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกใบ้ถึง ๓ หน

ปฐมสมโพธิบอกว่า เมื่อพระอานนท์นึกไม่ออกเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัส
บอกพระอานนท์ให้ไปนั่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้อีกแห่งหนึ่ง แล้วมารก็เข้าไปเฝ้าพระ
พุทธเจ้า กราบทูลพระพุทธเจ้าให้เเสด็จนิพพาน พระทรงรับคำแล้วทรงปลง
อายุสังขาร

'ปลงอายุสังขาร' แปลเป็นภาษาสามัญได้ว่า กำหนดวันตายไว้ล่วงหน้า วัน
นั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสามพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นับจากนี้ไปอีก ๓ เดือน
ข้างหน้า (กลางเดือนหก) พระองค์จะนิพพานที่เมืองกุสินารา

Copyright © 2002 Mahidol University All rights reserved.
Mahidol University Computing Center, Rama VI Road, Rajathewi, Bangkok 10400, THAILAND Tel. (662) 354-4333