พอพระมหากัสสปถวายบังคมบาทพระพุทธศพ
เพลิงสวรรค์ก็บันดาล ลุกโชติช่วง
เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ทางคณะสงฆ์และทางบ้านเมือง คือ เจ้ามัลล |
กษัตริย์ผู้ครองเมืองกุสินารา ได้ทำพิธีสักการบูชาพระศพพระพุทธเจ้าอยู่เป็น |
เวลาถึง ๖ วัน ในวันที่ ๗ จึงเชิญพระศพเป็นขบวนไปทางทิศเหนือของเมือง |
ผ่านใจกลางเมือง แล้วเชิญพระศพไปมกุฏพันธนเจดีย์ ที่อยู่ทางด้านทิศ |
ตะวันออกของเมือง เพื่อถวายพระเพลิง วันที่กำหนดจะถวายพระเพลิงนั้น |
ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ ซึ่งทุกวันนี้ทางเมืองไทยเราถือเป็นวันสำคัญวัน |
หนึ่ง เรียกว่า 'วันอัฐมีบูชา' |
ผู้เชิญหรือหามพระศพพระพุทธเจ้า เรียกว่า 'มัลลปาโมกข์' มีจำนวน ๘ นาย |
แต่ละนายรูปร่างใหญ่กำยำล่ำสั่น มีกำลังมาก 'มัลลปาโมกข์' แปลว่า หัว |
หน้านักมวยปล้ำ |
พระศพพระพุทธเจ้าห่อด้วยผ้าใหม่ ที่ปฐมสมโพธิบอกจำนวนไว้ว่ามีถึง |
๕๐๐ ชั้น ถอดเอาใจความว่ามีหลายชั้นนั้นเอง แต่ละชั้นอัดด้วยสำลี แล้ว |
เจ้าหน้าที่เชิญลงประดิษฐานในหีบทองที่เต็มไปด้วยน้ำมันหอม แล้วปิดฝา |
ครอบไว้ แล้วเชิญขึ้นจิตกาธานที่ทำด้วยไม้หอมหลายชนิด |
พอได้เวลาเจ้าหน้าที่ได้จุดไฟขึ้นทั้ง ๔ ด้าน ตำนานว่าจุดเท่าไหร่ไฟก็ไม่ติด |
เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองจึงเรียนถามพระอนุรุทธ์ (พระอนุรุทธ์มีศักดิ์เป็นพระ |
อนุชาของพระพุทธเจ้า) เป็นเพราะรอพระสาวกที่กำลังเดินทางมายังไม่ถึงได้ |
ถวายบังคมพระศพเสียก่อน ต่อมาเมื่อพระมหากัสสปพร้อมด้วยพระสงฆ์ |
บริวารเดินทางมาถึง ได้ถวายบังคมพระศพพระพุทธเจ้าแล้ว จึงเกิดเพลิง |
ทิพย์ด้วยเทวาฤทธานุภาพ |
ถอดความที่กล่าวนี้ก็ว่า ทางเจ้าหน้าที่และพระสงฆ์ได้ทราบข่าวพระมหา |
กัสสปกำลังเดินทางมาจวนจะถึงแล้วให้รอไว้ก่อน อย่าเพิ่งถวายพระเพลิง |
นั่นเอง |
ภายหลังจากนั้น เพลิงได้ไหม้พระสรีระของพระพุทธเจ้าจนหมดสิ้น เหลืออยู่ |
แต่พระอัฐิ พระเกศาพระทนต์ และผ้าอีกคู่หนึ่ง พระพวกมัลลกษัตริย์ได้นำ |
น้ำหอมหลั่งลงดับถ่านไฟที่จิตกาธาน แล้วเชิญพระบรมสารีธาตุไป |
ประดิษฐานไว้ที่สัณฐาคารศาลา คือหอประชุมกลางเมือง รอบหอประชุมนั้น |
จัดทหารถืออาวุธพร้อมสรรพคอยพิทักษ์รักษา และทำสักการะ บูชาด้วย |
ฟ้อนรำ ดนตรีประโคมขับ และดอกไม้นานาประการ และมีนักขัตฤกษ์เอิก |
เกริกกึกก้องฉลองถึง ๗ วันเป็นกำหนด |
Copyright © 2002 Mahidol
University All rights reserved. |