ตื่นบรรทมกลางดึกเห็นสาวสนมกรมในนอนระเกะระกะ
ระอาพระทัย ใคร่ผนวช

ตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่แล้ว ทรงตัดสินพระทัย
แน่วแน่ว่าจะเสด็จออกบรรพชาเป็นต้นมา แม้ว่าภายหลังจากนั้นจะทรงเกิด
บ่วงขึ้นในพระทัย คือทรงมีพระโอรสและมีความรัก แต่ความที่ตั้งพระทัยไว้
ว่าจะเสด็จออกบวชก็ไม่เปลี่ยนแปลง

ในคืนวันเสด็จกลับจากพระราชอุทยาน ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ตอนหนึ่งว่า
"...วันนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์มีพระทัยยินดียิ่งนักในบรรพชา กอปร
ด้วยพระปัญญาเป็นปราชญ์อันประเสริฐปราศจากอาลัยในเบญจกามคุณ มิ
ได้ยินดีในฟ้อนขับแห่งนางทั้งหลาย อันเป็นที่เจริญหฤทัยเห็นปานดังนั้น ก็
หยั่งลงสู่นิทรามรมณ์ประมาณมุหุตหนึ่ง..." มุหุตหนึ่งคือครู่หนึ่ง

ภายในปราสาทที่เจ้าชายประทับอยู่ สว่างรุ่งเรืองด้วยประทีปโคมไฟที่ "ตาม
ด้วยน้ำมันหอมส่งสว่างขจ่างจับแสงแก้วแสงทอง..." บรรดานางบำเรอฟ้อน
รำขับร้องที่อยู่เฝ้า เมื่อเห็นเจ้าชายบรรทมหลับแล้วต่างก็เอนกายลงนอนทับ
เครื่องดนตรี

มุหุตหนึ่งหรือครู่หนึ่ง เจ้าชายตื่นบรรทมแล้วก็ทรงเห็นอาการวิปลาสของนาง
บำเรอ ที่นอนหลับไม่สำรวม ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ว่า "แลนางบางจำพวก
ก็นอนกลิ้งเกลือก มีเขฬะ (น้ำลาย) อันหลั่งไหล นางบางเหล่าก็นอนกรน
สำเนียงดังเสียงกา นางบางหมู่ก็นอนเคี้ยวทนต์ นางบางพวกก็นอนละเมอ
เพ้อฝันจำนรรจาต่าง ๆ บางหมู่ก็นอนโอษฐ์อ้าอาการวิปลาส บางเหล่านางก็
นอนมีกายเปลือยปราศจากวัตถา สำแดงที่สัมพาธฐานให้ปรากฏ..."

เจ้าชายเสด็จจากพระแท่นที่บรรทม เสด็จลุกขึ้นทอดพระเนตรภายใน
ปราสาทที่ประทับ แม้จะสว่างรุ่งเรืองด้วยดวงประทีป และงามตระการด้วย
เครื่องประดับ แต่ทรงเห็นเป็นที่มืด และทรงเห็นเป็นดุจป่าช้าผีดิบ สิ่งที่มีชีวิต
ที่ยังหายใจได้ที่กำลังนอนระเนระนาดปราศจากอาการสำรวม คือ นาง
บำเรอปรากฏแก่พระองค์เป็นซากศพผีดิบในสุสาน จึงออกพระโอษฐ์ลำพัง
พระองค์ว่า "อาตมาจะออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ในสมัยราตรีนี้" แล้วเสด็จไป
ยังพระทวารปราสาท และตรัสเรียกมหาดเล็กเฝ้าพระทวารว่า "ใครอยู่ที่นั่น"

Copyright © 2002 Mahidol University All rights reserved.
Mahidol University Computing Center, Rama VI Road, Rajathewi, Bangkok 10400, THAILAND Tel. (662) 354-4333