ทรงปลุกนายฉันนะให้ผูกม้ากัณฐกะ เพื่อประทับเป็น
พาหนะเสด็จออกบรรพชา
ม้าพระที่นั่งที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จขึ้นทรง เพื่อเสด็จออกบวชครั้งนี้ มีชื่อว่า |
'กัณฐกะ' เป็นสหชาติคือเกิดวันเดียวกับเจ้าชาย หนังสือปฐมสมโพธิบอก |
ส่วนยาวของม้านี้ไว้ว่า "ยาวตั้งแต่คอจดท้ายมีประมาณ ๑๘ ศอก" แต่ส่วน |
สูงกี่ศอก ไม่ได้บอกไว้ บอกแต่ว่า "โดยสูงก็สมควรกับกายอันยาว" และแจ้ง |
ถึงลักษณะอย่างอื่นไว้ว่า "สีขาวบริสุทธิ์ดุจสังข์อันขัดใหม่ ศีรษะนั้นดำดุจสี |
แห่งกา มีเกศาในมุขประเทศ (หน้า) ขาวผ่องดุจใส้หญ้าปล้องงามสะอาด |
กอปรด้วยพหลกำลังมาก แลยืนประดิษฐานอยู่บนแท่นแก้วมณี" |
ความที่ว่านั้นเป็นม้าในวรรคดีที่กวีพรรณนาให้เขี่อง และให้เห็นเป็นม้าพิเศษ |
กว่าม้าสามัญ ถ้าถอดความเป็นอย่างธรรมดาก็ว่ากัณฐกะสูงใหญ่สีขาว |
เหมือนม้าทรงของจอมจักรพรรดิหรือบุคคลผู้ทรงความเป็นเอกในเรื่อง |
เมื่อเจ้าชายเสด็จเข้าใกล้ม้า ทรงยกพระหัถต์ขวาลูบหลังกัณฐกะ ท่านว่ามัา |
กัณฐกะมีความยินดีก็เปล่งเสียงร้องดังกึกก้องสนั่นไปทั่วกรุงกบิลพัสดุ์ ดังไป |
ไกลถึงหนึ่งโยชน์ (ประมาณ ๔๐๐ เส้น) โดยรอบ ถ้าเป็นไปตามนี้ ทำไมคน |
ทั้งเมืองไม่ตื่นกัน ท่านผู้รจนาวรรณคดีเรื่องนี้ท่านบอกว่า "เทพยดาก็กำบัง |
เสียซึ่งเสียงนั้นให้อันตรธานหายไป..." ท่านใช้เทวดาเป็นเครื่องเก็บเสียงม้า |
นั่งเอง |
ถ้าถอดความจากเรื่องของวรรณคดีดังกล่าวออกมาก็คือ เจ้าชายทรง |
ชำนาญในเรื่องม้ามาก ทรงสามารถสะกดม้าไม่ให้ส่งเสียงร้องได้ |
จากนั้นก็เสด็จขึ้นหลังกัณฐกะ บ่ายพระพักตร์ออกไปทางประตูเมืองที่ชื่อ |
'พระยาบาลทวาร' โดยมีนายฉันนะมหาดเล็กตามเสด็จไปข้างหลัง วันที่เสด็จ |
ออกบวชนั้น หนังสือปฐมสมโพธิบอกว่าเป็นวันเพ็ญเดือน ๘ ท่านว่า "พระ |
จันทร์แจ่มใสท่ามกลางคัคนาดลประเทศ (ท้องฟ้า) ปราศจากเมฆ ภายใน |
ห้องจักรวาลก็ขาวผ่องโอภาสด้วยนิศากรรังสี" นิศากรรังสี คือ แสงจันทร์ใน |
วันเพ็ญ |
Copyright © 2002 Mahidol
University All rights reserved. |