ทรงแสดงธรรมโปรดสุภัททะปริพาชก
ให้สำเร็จมรรคผล นับเป็นปัจจฉิมเวไนย

พระอานนท์สร่างจากความเสืยใจจากร้องไห้แล้ว ท่านก็เข้าไปแจ้งข่าวใน
เมืองตามพระดำรัสรับสั่งของพระพุทธเจ้า เพื่อรายงานให้เจ้ามัลลกษัตริย์
แห่งเมืองกุสินาราทราบว่า พระพุทธเจ้าจะนิพพานในตอนสิ้นสุดแห่งราตรี
วันนี้แล้ว แจ้งว่าใครจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ให้รีบไปเฝ้าเสียแต่ในขณะนี้ จะ
ได้ไม่เสียใจเมื่อภายหลังว่าไม่ได้เฝ้า

พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ที่กำลังประชุมกันอยู่ในเมือง ด้วยเรื่องพระพุทธเจ้า
นิพพานต่างก็ถือเครื่องสักการะมาเฝ้าพระพุทธเจ้ากันเนืองแน่นที่สุด แต่ละ
คนน้ำตานองหน้า ร่ำไห้รำพันต่างๆ นา ๆ เมื่อทราบว่าพระพุทเจ้าจะนิพพาน

ในจำนวนคนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งนั้น มีปริพาชกคนหนึ่งนามว่า 'สุภัททะ
ปริพาชก' คือ นักบวชนอกศาสนาพุทธพวกหนึ่ง

สุภัททะปริพาชกเข้าหาพระอานนท์ ภายหลังเจ้ามัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสิ
นาราได้เข้าเฝ้าแล้ว บอกว่าใคร่จะขออนุญาตเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อทูล
ถามปัญหาบางอย่างซึ่งข้องใจมานาน พระอานนท์ปฏิเสธปริพาชกผู้นี้ว่า
อย่าเลย อย่าได้รบกวนพระพุทธเจ้าเลย เพราะตอนนี้กำลังจะนิพพาน

ขณะนั้น พระพุทธเจ้าทรงได้ยินการโต้ตอบกันระหว่างพระอานนท์กับสุภัททะ
ปริพาชก จึงตรัสบอกพระอานนท์ว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้สุภัททะ
ปริพาชกเข้าเฝ้าได้ เมื่อสุภัททะปริพาชกได้โอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงทูล
ถามปัญหาที่ข้องใจมานาน ปัญญาข้อหนึ่งมีว่าสมณะผู้ได้บรรลุมรรคผลใน
ศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนามีหรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีแล้ว
ทรงแสดงธรรมให้ปริพาชกฟังโดยละเอียด

สุภัททะปริพาชกฟังแล้วเลื่อมใส ทูลขอบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่านักบวชในศาสอื่นจะมาขอบวชเป็นพระภิกษุในศาสนา
ของพระองค์นั้น จะต้องอยู่ปริวาสครบ ๔ เดือนก่อนจึงจะบวชได้ สุภัททะ
ปริพาชกกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าอย่าว่าแต่ ๔ เดือนเลย จะให้อยู่ถึง ๔ ปี ก็
ยอม

พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาติเป็นกรณีพิเศษ ให้พระสงฆ์จัดการบวชให้สุภัททะ
ปริพาชกในคืนนั้น สุภัททะปริพาชกจึงนับเป็นสาวกองค์สุดท้ายของพระ
พุทธเจ้า

Copyright © 2002 Mahidol University All rights reserved.
Mahidol University Computing Center, Rama VI Road, Rajathewi, Bangkok 10400, THAILAND Tel. (662) 354-4333